ถ้านึกถึงวาฟเฟิล ก็ต้องนึกถึงประเทศเบลเยี่ยม เพราะที่นี่เป็นแหล่งกำเนิดวาฟเฟิล ก่อนที่จะนิยมอย่างแพร่หลายไปยังประเทศอื่น โดยปกติแล้วชาวเบลเยี่ยมจะนิยมกินวาฟเฟิลเป็นอาหารเช้ากัน ราดด้วยท้อปปิ้งอย่างวิปครีม น้ำเชื่อม สตอเบอร์รี่และช็อกโกแลต ไปถึงเบลเยี่ยมแล้ว วาฟเฟิลเป็นอาหารจานโปรดที่เกิดขึ้นมา 100 กว่าปีแล้ว คาดว่ามีขึ้นในศตวรรษที่ 13
ขนมวาฟเฟิล Waffle มาจากภาษาดัตซ์ Wafel หมายถึงชิ้นส่วนของรังผึ้ง ก็มีแป้งสาลี นำ้ตาล ไข่ และนม นำมาราดบนแผ่นเหล็กที่ร้อนๆในสมัยกรีกโบราณ ต่อมาก็มีคนคิดแผ่นเหล็กร้อนมาประกบกัน และเพื่อทำให้สุกอย่างรวดเร็ว ในประเทศยุโรปวาฟเฟิลจะขายตามท้องถนน วาฟเฟิลก็จะแบ่งเป็นชนชั้น คนจนจะผสมแป้งกับนำ้เท่านั้น ดังนั้นแป้งวาฟเฟิลก็จะแข็งไม่นุ่ม รสชาติเหมือนทานบิสกิตกรุปๆ สำหรับคนที่มีฐานะ ก็จะเพิ่มไข่ นม น้ำผึ้ง รสชาติก็จะนุ่มอร่อยละมุนขึ้น ใน ค.ส. 1620 คนดัชต์ได้อพยพไปอเมริกา ก็นำวาฟเฟิลไปทานด้วย ทำให้นิยมแพร่หลายในประเทศอเมริกา คนอเมริกันก็จะทานกับนำ้เชื่อม ใส่ผลไม้เบอร์รี่ กล้วย หรือไอศครีม เป็นของหวาน หรือวาฟเฟิลของคาวก็จะทานกับ ไข่ดาว เบคอน ไก่ทอด แฮม เป็นต้น ในปี 1964 ก็มีต้นกำเนิด เบลเยี่ยม วาฟเฟิล Belgian Waffle ที่รู้จักกันในแพร่หลายในปัจจุบันทำจากยีสต์สด แป้งไข่ นม สูตรนี้มาจาก ภรรยาของ Maurice Vermersch ได้ทำการตลาด โดยขายสูตร Belgian Waffle ให้ทำกันทานที่บ้านโดยใช้มีดกับส้อม แล้วราดด้วยนำ้ไซรับ โรยน้ำตาลไอซิ่งเพิ่มความสวยงาม ซึ่งวาฟเฟิลที่ขายตามท้องถนนในยุโรป ไม่ได้ราดนำ้เชื่อม แล้วใช้มือในการทานวาฟเฟิล ซึ่งตอนนี้ Belgian Waffle เป็นที่นิยมทานกันทั่วโลก