ปลาตะเพียนเป็นแหล่งของโปรตีน มีแร่ธาตุและวิตามินหลากหลายชนิด เช่น วิตามินบี แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก จึงช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและฟัน ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดและป้องกันภาวะโลหิตจางได้ นอกจากนี้ปลาตะเพียนยังมีวิตามินดีสูง ช่วยดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้นพร้อมกับช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกายได้อีกทาง
โดยทางสำนักโภชนาการ กรมอนามัย ระบุว่า การรับประทานปลาตะเพียน 2 ช้อนโต๊ะ จะได้รับวิตามินดีเทียบเท่าปริมาณที่แนะนำใน 1 วัน แม้ปลาตะเพียนจะเป็นปลาน้ำจืด แต่ก็มีกรดไขมันโอเมก้า 3 อยู่ด้วย โดยเนื้อสด 100 กรัม จะให้โอเมก้า 3 ได้ราว ๆ 0.24 กรัม การรับประทานปลาตะเพียนจึงช่วยพัฒนาสมองและการจดจำ แถมยังมีประโยชน์ต่อระบบประสาท และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกายได้อีกทาง ปลาตะเพียนเป็นปลาไทยที่มีมานานคนไม่ค่อยนำมาทอดหรือทำเมนูอื่นๆ เนื่องจากปลาตะเพียนมีก้างเยอะแทรกอยู่ตามเนื้อปลา ทำให้กินยาก แต่คนโบราณมักนำไปต้มให้ก้างของปลากรอบและเปื่อยกินได้ทั้งก้างปลาที่ควรเลือกมาทำคือปลาที่มีไข่ เต็มท้อง จะมันมาก
ส่วนผสม ปลาตะเพียน 2 ตัว น้ำ ท่วมปลา (3 ถ้วยตวง) น้ำตาลปิ๊บ 300 กรัม เกลือ 2 ช้อนชา น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ อ้อย 2 ป้อง กระเทียม พริกไทย รากผัก 4 ช้อนโต๊ะ น้ำมะขามเปียก 1/2 ถ้วยตวง
ขั้นตอนการทำขั้นตอนที่ 1ผ่าอ้อยเป็นซีกๆรองใต้ก้อนหม้อ เป็นภูมิปัญญาของคนโบราณที่ทำให้น้ำซุปหวานขึ้นแถมยังทำให้ปลาไม่ไหม้ก้นหม้อเวลาเคี้ยวนานๆ
ขั้นตอนที่ 2จากนั้นใส่น้ำลงไปหม้อตั้งไฟให้น้ำร้อน
ขั้นตอนที่ 3ระหว่ารอน้ำร้อน ใส่รากผักชี กระเทียมพริกไทยที่ตำลงไปผัดในกะทะให้หอม ตามด้วยน้ำตาลปิ๊บ คนให้น้ำตาลละลายจากนั้นตักน้ำที่ต้มในหม้อ ใส่ในกะทะที่เราเคี้ยวน้ำตาลคนให้น้ำตาลลำลายไปกับน้ำจากนั้นเทลงหม้อ
ขั้นตอนที่ 4 จากนั้นตั้งกะทะให้ร้อนใส่น้ำมันเล็กน้อย น้ำปลาตะเพี้ยนที่ทำเสร็จไปดะบนกะทะ แต่พอให้หนังสุกเพื่อเวลาเคี้ยวปลาจะได้ไม่เละ
ขั้นตอนที่ 5 พอน้ำเดือดก็ใส่ปลาตะเพียนลงไป ต้ม ตามด้วยน้ำมะขามเปียก เกลือเล็กน้อย และน้ำปลา เคี่ยวด้วยไฟอ่อนจนก้างปลา และ เนื้อปลาเปื่อยยุ่ยจนก้างนิ่มจยสามารถกินได้ จากนั้นชิมรสเพิ่ม ถ้าได้ที่แล้วก็ไม่ต้องปรุงเพิ่ม เคี้ยวต่อจนงวดหรือเหลือน้ำ 1ใน3ของน้ำที่ใส่ครั้งแรก